บริจาคที่ดิน เอาคืนไม่ได้
บริจาคให้รัฐ เรียกคืนไม่ได้เขียนโดย ลีลา LAW
กาลเวลาผ่านไปบ้านเมืองย่อมมีการพัฒนาตามไปด้วยเช่นกัน นอกจากรัฐจะเป็นผู้ริเริ่มในการปรับปรุงให้เจริญแล้ว บางครั้งก็จำต้องได้รับการสนับสนุนจากเอกชน เรามักได้ยินเสมอว่า มีคนไทยใจบุญซึ่งมีฐานะดีหลายท่านบริจาคเงินหรือที่ดินในการสร้างสถานที่ราชการหรือถนนหนทางเพื่อสาธารณประโยชน์มากมาย บางกรณีเกิดปัญหาขึ้นหลังจากบริจาคไปแล้ว ทางราชการกลับนำไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นแทน อันสร้างความไม่พอใจแก่ผู้บริจาค จนกระทั่งยึดสิ่งของที่ให้คืน ทำให้เกิดข้อพิพาทต่อกัน
ปัญหาใช้ที่ดินซึ่งได้รับบริจาคมาผิดวัตถุประสงค์เดิมของผู้บริจาคได้มีการตัดสินคดีไว้แล้วใน คำพิพากษาฎีกาที่ 2004/2544 ว่า ตอนแรกทางกรุงเทพมหานครได้กำหนดแนวสร้างถนนใหม่เพื่อมารับกับสะพานที่สร้างใกล้เสร็จ จึงติดต่อเจรจากับ นางจิตรา เพื่อขอใช้ที่ดินแปลงพิพาททำเป็นถนน ด้วยความใจบุญและเห็นว่าเป็นการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม จึงบริจาคอุทิศที่ดินให้เป็นถนนสาธารณะและจดทะเบียนยกให้ด้วย กรณีนี้จึงถือว่า ที่ดินแปลงนี้ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) เวลาผ่านไประยะหนึ่งกรุงเทพมหานครเกิดเปลี่ยนแนวถนนใหม่ จึงมิได้ใช้ที่ดินดังกล่าวทำถนนแต่อย่างใด นางจิตราจึงกลับเข้าครองที่ดินอีกครั้ง หลายปีต่อมากรุงเทพมหานครมีโครงการใช้ที่ดินแปลงนั้นสร้างเป็นท่าเทียบเรือขนขยะ ทำให้นางจิตราโต้แย้งว่า อีกฝ่ายมิได้ทำให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่บริจาคให้สร้างถนน กรรมสิทธิ์จึงกลับมาเป็นของเจ้าของที่ดินเดิมอีกครั้ง และด้วยเวลาที่ยาวนานในการครอบครองหลังบริจาคให้แล้ว ศาลได้ตัดสินข้อพิพาทดังกล่าวว่า เมื่อบริจาคที่ดินให้รัฐ ทำให้กลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว การไม่ได้ใช้ทำประโยชน์ใดๆ มิได้ทำให้สภาพความเป็นสาธารณสมบัติสูญสิ้นไป แม้กรุงเทพมหานครจะมิได้ใช้ที่ดินตามวัตถุประสงค์ที่ขอรับบริจาค และ นางจิตราอดีตเจ้าของที่ดินกลับเข้าครอบครองที่ดินพิพาทใช้ประโยชน์นานเพียงใด มิทำให้กรรมสิทธิ์ตกไปเป็นของนางจิตราได้อีก เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1306 ห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
กรณีศึกษาข้างต้นถือเป็นข้อเตือนใจอย่างหนึ่งว่า การรู้จักบริจาคเพื่อประโยชน์ของสาธารณชน เป็นสิ่งที่ดี แต่ท่านพึงระลึกไว้ด้วยว่า การบริจาคเงินหรือที่ดินให้รัฐนั้น ไม่อาจเปลี่ยนใจกลับมาทวงสิ่งของบริจาคคืนได้อีก เพราะเมื่อเป็นของรัฐ กฎหมายถือว่ามันกลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปทันที รัฐจะนำไปใช้ทำอย่างไรเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมได้ ยกเว้นการทำเพื่อบุคคลใดโดยเฉพาะเท่านั้น ดังนั้น ก่อนที่จะบริจาค ท่านต้องทำใจบุญเสียสละอย่างสมบูรณ์เสียก่อน เพื่อจะไม่ต้องเสียดายหรือผิดหวังทีหลัง เพราะมีกฎหมายคุ้มครองรัฐในกรณีนี้ไว้แล้ว
กาลเวลาผ่านไปบ้านเมืองย่อมมีการพัฒนาตามไปด้วยเช่นกัน นอกจากรัฐจะเป็นผู้ริเริ่มในการปรับปรุงให้เจริญแล้ว บางครั้งก็จำต้องได้รับการสนับสนุนจากเอกชน เรามักได้ยินเสมอว่า มีคนไทยใจบุญซึ่งมีฐานะดีหลายท่านบริจาคเงินหรือที่ดินในการสร้างสถานที่ราชการหรือถนนหนทางเพื่อสาธารณประโยชน์มากมาย บางกรณีเกิดปัญหาขึ้นหลังจากบริจาคไปแล้ว ทางราชการกลับนำไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นแทน อันสร้างความไม่พอใจแก่ผู้บริจาค จนกระทั่งยึดสิ่งของที่ให้คืน ทำให้เกิดข้อพิพาทต่อกัน
ปัญหาใช้ที่ดินซึ่งได้รับบริจาคมาผิดวัตถุประสงค์เดิมของผู้บริจาคได้มีการตัดสินคดีไว้แล้วใน คำพิพากษาฎีกาที่ 2004/2544 ว่า ตอนแรกทางกรุงเทพมหานครได้กำหนดแนวสร้างถนนใหม่เพื่อมารับกับสะพานที่สร้างใกล้เสร็จ จึงติดต่อเจรจากับ นางจิตรา เพื่อขอใช้ที่ดินแปลงพิพาททำเป็นถนน ด้วยความใจบุญและเห็นว่าเป็นการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม จึงบริจาคอุทิศที่ดินให้เป็นถนนสาธารณะและจดทะเบียนยกให้ด้วย กรณีนี้จึงถือว่า ที่ดินแปลงนี้ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) เวลาผ่านไประยะหนึ่งกรุงเทพมหานครเกิดเปลี่ยนแนวถนนใหม่ จึงมิได้ใช้ที่ดินดังกล่าวทำถนนแต่อย่างใด นางจิตราจึงกลับเข้าครองที่ดินอีกครั้ง หลายปีต่อมากรุงเทพมหานครมีโครงการใช้ที่ดินแปลงนั้นสร้างเป็นท่าเทียบเรือขนขยะ ทำให้นางจิตราโต้แย้งว่า อีกฝ่ายมิได้ทำให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่บริจาคให้สร้างถนน กรรมสิทธิ์จึงกลับมาเป็นของเจ้าของที่ดินเดิมอีกครั้ง และด้วยเวลาที่ยาวนานในการครอบครองหลังบริจาคให้แล้ว ศาลได้ตัดสินข้อพิพาทดังกล่าวว่า เมื่อบริจาคที่ดินให้รัฐ ทำให้กลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว การไม่ได้ใช้ทำประโยชน์ใดๆ มิได้ทำให้สภาพความเป็นสาธารณสมบัติสูญสิ้นไป แม้กรุงเทพมหานครจะมิได้ใช้ที่ดินตามวัตถุประสงค์ที่ขอรับบริจาค และ นางจิตราอดีตเจ้าของที่ดินกลับเข้าครอบครองที่ดินพิพาทใช้ประโยชน์นานเพียงใด มิทำให้กรรมสิทธิ์ตกไปเป็นของนางจิตราได้อีก เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1306 ห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
กรณีศึกษาข้างต้นถือเป็นข้อเตือนใจอย่างหนึ่งว่า การรู้จักบริจาคเพื่อประโยชน์ของสาธารณชน เป็นสิ่งที่ดี แต่ท่านพึงระลึกไว้ด้วยว่า การบริจาคเงินหรือที่ดินให้รัฐนั้น ไม่อาจเปลี่ยนใจกลับมาทวงสิ่งของบริจาคคืนได้อีก เพราะเมื่อเป็นของรัฐ กฎหมายถือว่ามันกลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปทันที รัฐจะนำไปใช้ทำอย่างไรเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมได้ ยกเว้นการทำเพื่อบุคคลใดโดยเฉพาะเท่านั้น ดังนั้น ก่อนที่จะบริจาค ท่านต้องทำใจบุญเสียสละอย่างสมบูรณ์เสียก่อน เพื่อจะไม่ต้องเสียดายหรือผิดหวังทีหลัง เพราะมีกฎหมายคุ้มครองรัฐในกรณีนี้ไว้แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น